ซักผ้าในน้ำไม่สะอาดหลังฝนตก ทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นสาบติดยาวแม้ซักหลายรอบก็ยังอยู่

ซักผ้าในน้ำไม่สะอาดหลังฝนตก ทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นสาบติดยาวแม้ซักหลายรอบก็ยังอยู่

“เสื้อผ้ามีกลิ่นสาบ” หลังฝนตก แม้จะซักแล้วหลายรอบ กลิ่นก็ยังอยู่ กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นี้ไม่ได้มาจากเสื้อผ้าอย่างเดียว แต่มาจากคุณภาพน้ำ สภาพอากาศ และวิธีซักที่ไม่ถูกต้อง บ่อยครั้งเราคิดว่าแค่ซักก็พอ แต่จริงแล้วถ้านำน้ำที่ไม่สะอาด ซักในสถานที่ลมไม่ถ่ายเท หรือปล่อยให้ผ้าเปียกค้างไว้ กลิ่นและเชื้อจุลินทรีย์อาจฝังลึกในเส้นใยจนยากจะขจัด บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผลกระทบ วิธีแก้ และวิธีป้องกัน เพื่อให้เสื้อผ้าของคุณสะอาดและไม่มีกลิ่นสาบตรึงใจ

สาเหตุที่น้ำไม่สะอาดหลังฝนตกทำให้ผ้ามีกลิ่นสาบฝังแน่น

เมื่อฝนตก น้ำฝนอาจดูสะอาด แต่ในความเป็นจริงมักผสมกับฝุ่นละออง ไอเสียจากรถยนต์ หรือสิ่งปนเปื้อนอื่น ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ พอน้ำตกลงพื้น หลังคา หรือพื้นถนน น้ำจะรับสิ่งสกปรกเหล่านั้นมา รวมทั้งสารอินทรีย์และอนุภาคที่มองไม่เห็น การใช้น้ำดังกล่าวในการซักผ้าทำให้คราบหรือสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้สัมผัสกับเนื้อผ้าตั้งแต่แรก

หลังฝนตก อากาศมักชื้นและไม่มีลม ถ้าตากผ้าทันทีในสภาพอากาศที่ชื้นหรือในร่ม ผ้าจะไม่แห้งเร็ว ความชื้นค้างบนเส้นใยเป็นสภาพที่เหมาะแก่การเจริญของแบคทีเรีย เชื้อรา และจุลินทรีย์ เมื่อสิ่งเหล่านี้เพิ่มจำนวน กลิ่นสาบจะเริ่มเกิดขึ้นและติดแน่นในเนื้อผ้า

อีกสาเหตุคือการซักที่ใช้โหมดน้ำเย็นกับผงซักฟอกธรรมดาโดยไม่แช่หรือปรับใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นซึ่งสามารถกำจัดแบคทีเรียได้ดี บางคนอาจเพิ่งซักหลายรอบ แต่หากน้ำล้างสุดท้ายยังคงมีสิ่งตกค้าง ทั้งคราบสบู่ คราบเหงื่อ น้ำมันจากผิว กลิ่นยังคงอยู่ในเนื้อผ้า

ผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อกลิ่นสาบติดผ้ายาว

เมื่อกลิ่นสาบติดผ้าจนฝังแน่น จะไม่เพียงแต่กลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดในการใส่แต่ละวัน แต่ยังมีผลเสียหลายด้าน เริ่มจากด้านความรู้สึก เสื้อที่มีกลิ่นสาบถึงแม้สะอาดตามสายตา จะทำให้คนใส่รู้สึกไม่มั่นใจ กลัวคนอื่นได้กลิ่น กลิ่นสาบอาจแรงขึ้นเมื่อเสื้อผ้าโดนเหงื่อหรือความร้อน

ผ้าที่มีกลิ่นจะถูกซักซ้ำหลายรอบ ใช้น้ำยาแรงบ้าง น้ำร้อนบ้าง ซึ่งสามารถทำลายสีและเนื้อผ้าได้ สีอาจหมองหรือซีดก่อนเวลา และเนื้อผ้าอาจอ่อนลง ผ้าบางอาจขาดง่ายหรือเสียผิวสัมผัสเมื่อใช้ซ้ำ

สุขภาพก็สำคัญ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือเป็นภูมิแพ้ เมื่อใส่ผ้าที่มีกลิ่นสาบอาจเกิดอาการคัน แดง หรือมีผื่น นอกจากนี้การหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราเล็ก ๆ ที่อาจเจริญเติบโตในเนื้อผ้าที่ชื้นอาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินหายใจในบางคน

วิธีแก้ไขเมื่อเสื้อผ้ามีกลิ่นสาบแม้ซักหลายรอบแล้ว

ถ้าเสื้อผ้ามีกลิ่นสาบติดทนนาน ต่อไปนี้คือวิธีที่ช่วยลดหรือขจัดกลิ่น:

ใช้สารธรรมชาติ เช่น น้ำส้มสายชูขาว หรือ โซดา (baking soda) เพื่อแช่เสื้อผ้าก่อนซัก ผสมน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นให้เหมาะกับชนิดผ้า แช่ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงเพื่อช่วยย่อยสลายคราบและแบคทีเรีย จากนั้นซักตามป้าย ราดหรือฉีดสารขจัดกลิ่นเฉพาะจุดที่มีกลิ่นชัดขึ้น

ใช้ผงซักฟอกที่มีสูตรฆ่าเชื้อหรือกำจัดกลิ่นเข้มข้น ร่วมกับการเพิ่มรอบล้างพิเศษเพื่อชะล้างสารตกค้างออกให้หมด อย่าลืมตรวจสอบให้ผ้าได้รับน้ำล้างสุดท้ายสะอาด

ตากผ้าในที่ที่มีลมถ่ายเทดีและแดดอ่อน ถ้าแดดแรงจะช่วยฆ่าเชื้อและฟอกสีอ่อน ๆ แต่มากเกินไปอาจทำให้สีซีดได้ ผ้าที่อยู่ในบางชั้นควรพลิกด้านในออก เพื่อให้ส่วนที่รับแดดหรืออากาศมากที่สุดได้าระบาย

ถ้าไม่มีแสงแดดจัด ใช้พัดลมหรือเครื่องอบผ้าให้ช่วยลดความชื้นข้างในเสื้อตอนตาก หรือใช้เครื่องดูดความชื้นในห้องตากเพื่อช่วยเร่งการแห้งและลดโอกาสของแบคทีเรียหรือรา

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นสาบเมื่อซักผ้าหลังฝนตก

เพื่อไม่ให้ต้องเจอกลิ่นสาบติดเสื้อเหมือนที่ผ่านมา ควรทำตามแนวทางเหล่านี้:

หลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่ขังหรือมีลักษณะสิ่งสกปรกหลังฝน เช่นน้ำที่มาโดยตรงจากพื้นถนนที่มีฝุ่นละอองหรือคราบน้ำมัน ถ้าเป็นไปได้ใช้น้ำประปาหรือน้ำกรองเพื่อซัก

ตรวจสอบเสื้อตากก่อนว่าจะถูกน้ำฝนใหม่ไหม ถ้ารู้ว่าอาจโดนฝนซ้ำ ให้เตรียมที่ตากที่ร่มแล้วมีลมถ่ายเท tốt หรือมีหลังคาเล็ก ๆ ช่วยครอบ

อย่าให้เสื้อเปียกค้างนาน หลังฝนเสร็จหรือหลังโดนน้ำซัก อย่าเก็บผ้าหรือแขวนไว้ในที่ชื้น ควรรวดเร็วในการรีบเอาออกและตากให้แห้งสนิท

เลือกผงซักฟอกที่เหมาะกับผ้าที่ต้องซักบ่อยในสภาพเปียกชื้น มีสารกำจัดกลิ่นหรือสารต้านเชื้อจุลินทรีย์ และอย่าใช้ผงซักหรือปริมาณที่มากเกิน เพราะสารตกค้างอาจเป็นแหล่งของกลิ่น

ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเป็นประจำ โดยเฉพาะถังซักและซีลยาง เพราะคราบสบู่ สารตกค้าง และความชื้นภายในเครื่องสามารถเป็นที่สะสมของแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งกลับมาติดผ้าใหม่ได้ทุกครั้งที่ซัก

ปัจจัยที่ส่งผลให้กลิ่นสาบติดนานขึ้น

ชนิดของเสื้อผ้ามีผลมาก เช่นผ้าฝ้าย ผ้าลินิน หรือผ้าธรรมชาติที่ดูดซับน้ำได้สูง มักคืนกลิ่นช้าและต้องใช้เวลามากกว่าผ้าที่เป็นผ้าสังเคราะห์

ระดับความอากาศชื้นภายในบ้านหรือบริเวณที่ตากผ้าก็ส่งผล ถ้าความชื้นในอากาศสูงหรืออากาศไม่ถ่ายเทดี กลิ่นและแบคทีเรียจะยิ่งเติบโตเร็ว

อุณหภูมิและแสงแดด ถ้าแดดแรงและมีแสงแดดช่วยฆ่าเชื้อได้ จะช่วยให้กลิ่นลดลง แต่ถ้าโดนแดดไม่เต็มที่หรือโดนฝนซ้ำ กลิ่นอาจอยู่

ชนิดน้ำที่ใช้ซัก ถ้าน้ำมีแร่ธาตุหรือสิ่งเจือปนเยอะ เช่นเหล็ก ฝุ่น ดิน น้ำขัง จะเพิ่มโอกาสของกลิ่นและสิ่งสกปรกตกค้างในผ้า

สรุปประเด็นสำคัญ

  1. การใช้น้ำไม่สะอาดหลังฝนตกซักผ้า สภาพผ้าชื้น และอากาศอับ เป็นตัวเร่งให้ผ้ามีกลิ่นสาบติดแม้ซักหลายรอบ

  2. ผลกระทบรวมถึงกลิ่นติด ถ้าล้างไม่ดี สีหมอง และเสื้อผ้าสึกเร็วขึ้น

  3. วิธีแก้เมื่อเจอเรื่องนี้คือใช้น้ำยากำจัดกลิ่น แช่ก่อนซัก ใช้น้ำล้างหลายรอบ ตากแดดหรือในที่ที่ลมดี

  4. ป้องกันโดยใช้น้ำสะอาด ตรวจสภาพอากาศ ล้างเครื่องซักผ้า และไม่ให้ผ้าเปียกค้างนาน